การแลกเงิน ค่าเงินบาท ส่งผลต่อการนำเข้าและส่งออกสินค้าอย่างไร “ค่าเงินบาท” คือจำนวนเงินบาทเมื่อแลกกับสกุลเงินต่างประเทศ หรือเป็นอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงิน 2 สกุล ที่ค่าเงินบาทแข็งค่าหรือค่าเงินบาทอ่อนค่า โดยจะเกิดขึ้นพร้อมกันในทิศทางตรงกันข้าม ซึ่งย่อมมีผู้ที่ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์
ในวันนี้ Theonecargo จะมาอธิบายให้ฟังกันว่า ค่าเงินบาทแข็งค่าหรือค่าเงินบาทอ่อนนั้น ส่งผลต่อการนำเข้าส่งออกสินค้าอย่างไร ใครได้ประโยชน์และเสียประโยชน์
ค่าเงินบาทแข็งค่าหรือค่าเงินบาทอ่อน เป็นอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศ ที่จะเปลี่ยนแปลงไปตามกลไกตลาด ซึ่งจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในขณะนั้น โดยถ้าในตลาดมีความต้องการมาก เงินสกุลนั้นก็จะแข็งค่าขึ้น แต่ในทางกลับกัน ถ้าในตลาดไม่เป็นที่ต้องการ ก็จะทำให้เงินอ่อนค่า ส่งผลกระทบทั้งผู้นำเข้าและส่งออกในทิศทางตรงกันข้าม
ค่าเงินบาทแข็งค่า
คือ การใช้เงินบาทน้อยลงในการแลกเงินสกุลอื่นๆ ในจำนวนเท่าเดิม เช่น จากเดิมเงิน 37 บาท แลกได้ 1 USD วันนี้เงิน 30 บาทแลกได้ 1 USD ดังนั้น ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลล่าห์
ผู้ได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทแข็งค่า
ผู้เสียประโยชน์จากค่าเงินบาทแข็งค่า
ค่าเงินบาทอ่อนค่า
คือการใช้เงินบาทมากขึ้นในการแลกเงินสกุลอื่นๆ ในจำนวนเท่าเดิม เช่น จากเดิมเงิน 30 บาทแลกได้ 1 USD วันนี้เงิน 37 บาทแลกได้ 1 USD ดังนั้น ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินดอลล่าห์
ผู้ได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทอ่อนค่า
ผู้เสียประโยชน์จากค่าเงินบาทอ่อนค่า
ดังนั้น เมื่อเข้าใจหลักการของค่าเงินบาทไปแล้ว จะเห็นได้ว่าค่าเงินบาทมีความผันผวนเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ซึ่งย่อมส่งผลกระทบต่อธุรกิจและการนำเข้า – ส่งออกสินค้าเป็นอย่างมาก
ทำให้ผู้ประกอบการ หรือนักลงทุนต่างๆ จึงต้องติดตามสถานการณ์ของค่าเงิน เพื่อที่จะได้วางแผนรับมือได้อย่างทันถ่วงที และถ้าหากผู้ประกอบการท่านใดทำธุรกิจที่เกี่ยวกับการนำเข้า – ส่งออกสินค้า CPLINTER เราก็มีบริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศทางเครื่องบิน รถและเรือ คอยให้คำปรึกษาเรื่องการขนส่งสินค้า ทั้งเรื่องการนำเข้า – ส่งออก การบรรจุสินค้า การจัดเตียมเอกสาร และการเดินพิธีการต่างๆ